ภาพจ๊อบรวมๆ 3

ภาพจ๊อบรวมๆ4

ภาพจ๊อบรวมๆ2

วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

วงจรอิเล็กทรอนิกส์เกทและดิจิตอลไอซี



วงจรอิเล็กทรอนิกส์เกทและดิจิตอลไอซี

3.1     กล่าวนำ
ปัจจุบันวงจร Logic ทางดิจิตอลได้เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากในวงการอิเล็กทรอนิกส์ทั่ว ๆ ไป ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญอันหนึ่งในการดำเนินชีวิตประจำวันของคนเรา ก่อนที่เราจะศึกษาการนำเอาวงจร Logicไปใช้งานนั้นหากเราเข้าใจโครงสร้างการทำงานภายในของเกทแบบต่าง ๆ ซึ่งอยู่ภายในไอซี ก็จะทำให้เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างถูกต้องและถูกวิธี

3.2     หลักการเบื้องต้นของวงจร Logic
วงจร Logic นั้นเราจะใช้ระดับแรงดันไฟฟ้าแทนสภาวะ สภาวะ ซึ่งอาจแทนความหมายต่าง ๆ ได้ เช่น ใช่-ไม่ใช่ถูก-ผิดเปิด-ปิดทำงาน-ไม่ทำงานมี-ไม่มี,1-0 เป็นต้น แต่ทั่วไปแล้วในทางดิจิตอลจะใช้แทนด้วย กับ 1ตามการทำงานของวงจรอิเล็กทรอนิกส์สวิทชิ่ง ซึ่งเราเรียกว่า Logic  โดยปกติการแทน Logic นั้นจะมีการแบ่งระบบสัญญาณ Logic อยู่ แบบ คือ

1. Positive Logic เป็นระบบ Logic ที่มีสัญญาณลอจิก “1” หรือ สูง” หรือ “High” (H) ต้องมีระดับแรงดันไฟฟ้าที่เป็นบวกมากกว่าสัญญาณลอจิก “0” หรือ ต่ำ” หรือ “Low” (L)
รูปที่ 3.1

2. Negative Logic เป็นระบบ Logic ที่มีสัญญาณลอจิก “1” หรือ สูง” หรือ “High” (H) ต้องมีระดับแรงดันไฟฟ้าที่เป็นลบมากกว่าสัญญาณลอจิก “0” หรือ ต่ำ” หรือ “Low” (L)
รูปที่ 3.2

3.3     ELECTRONIC LOGIC GATES
เกทต่าง ๆ ที่ใช้ในดิจิตอลคอมพิวเตอร์นั้นจะผลิตออกมาในรูปของอุปกรณ์แบบวงจรรวม (integrated circuit : IC) ซึ่งเราเรียกสั้น ๆ ว่าไอซี ภายในตัวไอซีนั้นจะประกอบด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ มากมาย เช่น ทรานซิสเตอร์(transistor), ไดโอด (diode), ตัวความต้านทาน (resistor), อุปกรณ์โซลิดสเตท (solid-state component) และ อุปกรณ์อื่น ๆ เกทพื้นฐานนั้นจะประกอบไปด้วยชนิดของ  เกท ชนิด คือ แอนด์เกท (AND gate), ออร์เกท (OR gate) และ นอทเกท (NOT gate) ซึ่งต่อมาได้มีการพัฒนาเพิ่มเป็นเกทพิเศษเพิ่มเติมมาเช่น แนนด์เกท(NAND gate), นอร์เกท(NOR gate), เอกซ์คลูซีฟนอร์เกท (EX-OR gate) เป็นต้น
                3.3.1 แอนด์เกท (AND gate)
                AND gate เป็นการกระทำการ AND ระหว่างอินพุทตั้งแต่ อินพุทขึ้นไป โดยมีลักษณะของเอาท์พุทคือ เอาท์พุทจะเป็น “1” เพียงกรณีเดียวเท่านั้นเมื่ออินพุททุกตัวเป็น “1” ซึ่ง AND gate มีสัญลักษณ์ และการทำงานดังรูป


อินพุท
เอาท์พุท
A
B
Y
0
0
0
0
1
0
1
0
0
1
1
1
แสดงตารางความจริง (Truth table) ของแอนด์เกท
รูปที่ 3.3

                จากการทำงานของ AND gate เราสามารถเขียน Function Output ของ AND gate ได้คือ
                                                Y =  A × B
                ในทางปฏิบัติจริงอาจจะมีการใช้แอนด์เกทที่มีอินพุทมากกว่าสองอินพุทก็ได้ โดยจะมีจำนวนอินพุทถึง อินพุท ซึ่งจะได้ Function Output ของ AND gate ที่มีจำนวนอินพุท อินพุท คือ

                                                Y = A × B ×× n
รูปที่ 3.4

                3.3.2 ออร์เกท (OR gate)

                OR gate เป็นการกระทำการ OR ระหว่างอินพุทตั้งแต่ อินพุทขึ้นไป โดยมีลักษณะของเอาท์พุทคือ เอาท์พุทจะเป็น “1” ก็ต่อเมื่อมีอินพุทหนึ่งอินพุทใดหรืออินพุททุกตัวเป็น “1” ซึ่ง OR gate มีสัญลักษณ์ และการทำงานดังรูป
อินพุท
เอาท์พุท
A
B
Y
0
0
0
0
1
1
1
0
1
1
1
1
แสดงตารางความจริง (Truth table) ของออร์เกท
รูปที่ 3.5

                จากการทำงานของ OR gate เราสามารถเขียน Function Output ของ OR gate ได้คือ
                                                Y =  A + B
                ในทางปฏิบัติจริงอาจจะมีการใช้ออร์เกทที่มีอินพุทมากกว่าสองอินพุทก็ได้ โดยจะมีจำนวนอินพุทถึง อินพุท ซึ่งจะได้ Function Output ของ OR gate ที่มีจำนวนอินพุท อินพุท คือ

                                                Y = A + B +…+ n
รูปที่ 3.6

                3.3.3 นอทเกท (NOT gate) หรืออินเวอร์เตอร์ (Inverter)

                Not gate เป็นเกทที่ทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณอินพุทจาก “0” เป็น “1” หรือ จาก “1” เป็น “0” ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการคอมพลีเม้นต์ก็ได้เช่นกัน NOT gate นั้นจะมีเพียงอินพุทเดียวเท่านั้น ซึ่งมีสัญลักษณ์และตารางการทำงาน คือ
อินพุท
เอาท์พุท
A
Y
0
1
1
0
แสดงตารางความจริง (Truth table) ของนอทเกท
รูปที่ 3.7

                จากการทำงานของ NOT gate เราสามารถเขียน Function Output ของ NOT gate ได้คือ
                                                Y =      A



                3.3.4 แนนด์เกท (NAND gate)
                NAND gate เป็นการนำเอาการกระทำการ AND ระหว่างอินพุทตั้งแต่ อินพุทขึ้นไป แล้วนำเอาท์พุทที่ได้ไปผ่าน NOT gate (AND + INVERTER = NAND) โดยมีลักษณะของเอาท์พุทที่ตรงกันข้ามกับ AND gate คือ เอาท์พุทจะเป็น “0” เพียงกรณีเดียวเท่านั้นเมื่ออินพุททุกตัวเป็น “1” ซึ่ง NAND gate มีสัญลักษณ์ และการทำงานดังรูป

อินพุท
เอาท์พุท
A
B
Y
0
0
1
0
1
1
1
0
1
1
1
0
แสดงตารางความจริง (Truth table) ของแนนด์เกท
รูปที่ 3.8
                จากการทำงานของ NAND gate เราสามารถเขียน Function Output ของ NAND gate ได้คือ
                                                Y =  A × B
                ในทางปฏิบัติจริงอาจจะมีการใช้แอนด์เกทที่มีอินพุทมากกว่าสองอินพุทก็ได้ โดยจะมีจำนวนอินพุทถึง อินพุท ซึ่งจะได้ Function Output ของ NAND gate ที่มีจำนวนอินพุท อินพุท คือ

                                                Y = A × B ×× n
รูปที่ 3.9

                3.3.5 นอร์เกท (NOR gate)

                NOR gate เป็นการนำเอาการกระทำการ OR ระหว่างอินพุทตั้งแต่ อินพุทขึ้นไป แล้วนำเอาท์พุทที่ได้ไปผ่าน NOT gate โดยมีลักษณะของเอาท์พุทตรงกันข้ามกับ OR gate คือ เอาท์พุทจะเป็น “0” ก็ต่อเมื่อมีอินพุทหนึ่งอินพุทใดหรืออินพุททุกตัวเป็น “1” ซึ่ง NOR gate มีสัญลักษณ์ และการทำงานดังรูป

อินพุท
เอาท์พุท
A
B
Y
0
0
1
0
1
0
1
0
0
1
1
0
แสดงตารางความจริง (Truth table) ของนอร์เกท
รูปที่ 3.10

                จากการทำงานของ NOR gate เราสามารถเขียน Function Output ของ NOR gate ได้คือ
                                                Y =  A + B
                ในทางปฏิบัติจริงอาจจะมีการใช้นอร์เกทที่มีอินพุทมากกว่าสองอินพุทก็ได้ โดยจะมีจำนวนอินพุทถึง อินพุท ซึ่งจะได้ Function Output ของ NOR gate ที่มีจำนวนอินพุท อินพุท คือ

                                                Y = A + B +…+ n
รูปที่ 3.11

                3.3.6 เอ็กซ์คลูซีฟ-ออร์เกท (EXCLUSIVE-OR gate)

                EXCLUSIVE-OR gate เป็นเกทพิเศษชนิดหนึ่งซึ่งเป็นการนำเอา NOT gate AND gate OR gate มาทำการต่อร่วมกัน ประกอบไปด้วยอินพุท อินพุท ซึ่งจะมีลักษณะของเอาท์พุทจะเป็น “0” ก็ต่อเมื่อมีอินพุททั้งสองอินพุทมีLogical เหมือนกัน เช่น เป็น “0” หรือเป็น “1” ทั้งสองอินพุทและเอาท์พุทจะเป็น “1” ก็ต่อเมื่อมีอินพุททั้งสองอินพุทมี Logical ต่างกัน

อินพุท
เอาท์พุท
A
B
Y
0
0
0
0
1
1
1
0
1
1
1
0
แสดงตารางความจริง (Truth table) ของ EXCLUSIVE-OR gate
รูปที่ 3.12

                จากการทำงานของ EXCLUSIVE-OR gate เราสามารถเขียน Function Output ของ EXCLUSIVE-OR gate ได้คือ
                                                Y =    A × B  +    A × B         หรือ
                                                    =  (A  + B) ×  (A + B)   หรือ
                                                    =   A  Å B
                ในทางปฏิบัติจริงเราอาจเห็น EXCLUSIVE-OR gate ที่มีอินพุทมากกว่าสองอินพุทได้เช่นกัน แต่ไม่มากนัก

                3.3.7 เอ็กซ์คลูซีฟ-นอร์เกท (EXCLUSIVE-NOR gate) หรือ Comparators

                EXCLUSIVE-NOR gate เป็นเกทพิเศษอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นการนำเอา NOT gate AND gate OR gate มาทำการต่อร่วมกันเช่นเดียวกับ EXCLUSIVE-OR gate ประกอบไปด้วยอินพุท อินพุท ซึ่งจะมีลักษณะของเอาท์พุทจะตรงกันข้ามกับเอาท์พุทของ EXCLUSIVE-OR gate คือ เอาท์พุทจะ เป็น “0” ก็ต่อเมื่อมีอินพุททั้งสองอินพุทมี Logical ต่างกัน และเอาท์พุทจะเป็น “1” ก็ต่อเมื่อมีอินพุททั้งสองอินพุทมี Logical เหมือนกัน เช่น เป็น “0” หรือเป็น “1”ทั้งสองอินพุท

อินพุท
เอาท์พุท
A
B
Y
0
0
0
0
1
1
1
0
1
1
1
0
แสดงตารางความจริง (Truth table) ของ EXCLUSIVE-NOR gate
รูปที่ 3.13

                จากการทำงานของ EXCLUSIVE-NOR gate เราสามารถเขียน Function Output ของ EXCLUSIVE-NOR gate ได้คือ
                                                Y =   A × B  +    A × B          หรือ
                                                    =  (A + B) ×  (A + B)   หรือ
                                                    =    A  Å B
                                                    =    A ๏ B
                ในทางปฏิบัติจริงเราอาจเห็น EXCLUSIVE-NOR gate ที่มีอินพุทมากกว่าสองอินพุทได้เช่นกัน แต่ไม่มากนัก
                3.3.8 Inhibit gate

                Inhibit gate เป็นเกทพิเศษอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นการนำเอา NOT gate AND gate มาทำการต่อร่วมกัน โดยจะนำ NOT gate มาต่อไว้ที่อินพุทของ AND gate เพียงอินพุทหนึ่ง ๆ
อินพุท
เอาท์พุท
A
B
C
Y
0
0
0
0
0
0
1
0
0
1
0
0
0
1
1
0
1
0
0
0
1
0
1
0
1
1
0
1
1
1
1
0
แสดงตารางความจริง (Truth table) ของ Inhibit gate
รูปที่ 3.14

                จากการทำงานของ Inhibit gate ดังรูปที่ 3.14 นั้น เราสามารถเขียน Function Output ของ Inhibit gate นี้ได้คือ
                                                Y =    A × B  × C   

                            


3.4     DIGITAL INTEGRATED CIRCUIT
พัฒนาการในการนำเอาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาประกอบกันเป็นวงจรลอจิกนั้น ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงมามากมาย โดยในระยะเริ่มแรกนั้นวงจรลอจิกจะเกิดจากการนำเอาสวิทช์ธรรมดาและรีเลย์มาประกอบกันเป็นวงจรลอจิก ซึ่งทำให้ขาดความยืดหยุ่นในการใช้งาน ต่อมามีการนำเอาหลอดสูญญากาศมาใช้แทน ซึ่งหลอดสูญญากาศนั้นก็มีข้อเสียในการใช้งานมากมายเช่นกัน จนกระทั่งถึงยุคของอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำ เช่น ไดโอด ทรานซิสเตอร์ ทำให้การประกอบเป็นวงจรลอจิกมีความยืดหยุ่นในการใช้งานมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งถึงจุดที่สามารถนำเอาอุปกรณ์ต่าง ๆ ประกอบอยู่ในชิพเล็ก ๆ เพียงชิพเดียว ซึ่งสามารถบรรจุอุปกรณ์พื้นฐานต่าง ๆ ได้มากมาย เราเรียกว่า IC ซึ่งย่อมาจาก Integrated Circuit
                ไอซีต่าง ๆ ที่นำมาใช้สร้างเป็นวงจรลอจิกนั้นเราสามารถแบ่งชนิดของไอซีตามขนาดความซับซ้อนภายในของมันโดยถ้าใช้เกณฑ์การนับจากจำนวนเกทที่อยู่ภายในไอซีได้ดังนี้
                SSI (Small-Scale Integration) ถือว่าเป็นไอซีขนาดเล็ก โดยเป็นไอซีที่มีจำนวนเกทน้อยกว่า 12 เกทบนชิพเดียวกัน มีขาต่อใช้งาน 14 ถึง 16 ขา
                MSI (Medium-Scale Integration) ถือว่าเป็นไอซีขนาดกลาง โดยเป็นไอซีที่มีจำนวนเกทตั้งแต่12 เกท ถึง 100 เกทต่อชิพ
                LSI (Larg-Scale Integration) ถือว่าเป็นไอซีขนาดใหญ่ โดยเป็นไอซีที่มีจำนวนเกทมากกว่า 100 เกท ถึง 1000 เกทต่อชิพ
                VLSI (Very Larg-Scale Integration) ถือว่าเป็นไอซีขนาดใหญ่มาก โดยเป็นไอซีที่มีจำนวนเกทมากกว่า 1000 เกท ถึง 100,000 เกทต่อชิพ
                ULSI (Ultra Larg-Scale Integration) ถือว่าเป็นไอซีขนาดใหญ่พิเศษ

3.5     ไดโอดลอจิก (Diode Logic)
ไดโอดลอจิกเป็นวิวัฒนาการขั้นแรกเริ่มก่อนที่จะสร้างเป็นไอซีดิจิตอลชนิดต่าง ๆ ขึ้นได้ ซึ่งก่อนที่จะศึกษาการทำงานของโครงสร้างภายในไอซีเกทชนิดต่าง ๆ นั้น ควรทำความเข้าใจถึงการทำงานของไดโอดลอจิกก่อน
วงจรไดโอดลอจิกจากรูปที่ 3.15 เป็นวงจรไดโอดลอจิกที่ใช้แทน AND gate โดยสมมุตให้ไดโอดที่ใช้มีคุณสมบัติเป็นไดโอดในทางอุดมคติ คือ เมื่อไดโอดได้รับไบอัสตรงจะเปรียบเสมือนว่าไดโอดทำหน้าที่เป็นวงจรปิด(Close Circuit) แต่หากไดโอดได้รับไบอัสกลับ ไดโอดจะทำหน้าที่เป็นวงจรเปิด (Open Circuit)



)
ลำดับ
อินพุท
เอาท์พุท
อินพุท
เอาท์พุท
A
B
Y
A(V)
B(V)
Y
(V)
1
0
0
0
0
0
0
2
0
1
0
0
+10
0
3
1
0
0
+10
0
0
4
1
1
1
+10
+10
+10
) Truth Table
รูปที่ 3.15 แสดงไดโอดลอจิกต่อเป็น AND gate

การทำงานของวงจรในรูปที่ 3.15 นั้น หากเราให้ที่อินพุท และ ขาใดขาหนึ่ง หรือทั้งสองอินพุทต่อกับกราวนด์คือ เป็น โวลท์ เอาท์พุทจะเป็น โวลท์ (ในทางปฏิบัติจะมีค่าแรงดันประมาณ 0.6-0.7 โวลท์เนื่องจากไดโอดตัวใดตัวหนึ่งหรือทั้งสองตัวจะได้รับไบอัสตรงทำให้สามารถนำกระแสได้ ซึ่งเอาท์พุทที่วัด ณ.จุด เป็นการวัดตกคร่อมไดโอด แต่หากให้อินพุท และ ต่อกับ + 10 โวลท์ จะทำให้เอาท์พุทที่วัดได้ ณ.จุด เป็น + 10 โวลท์ เนื่องจากไดโอดทั้งสองตัวได้รับไบอัสกลับจึงไม่นำกระแส จึงเป็นการวัดค่าที่ได้จากแหล่งจ่ายแรงดัน
ส่วนรูปที่ 3.16 เป็นวงจรไดโอดลอจิกที่ใช้แทน OR gate ซึ่งมีลักษณะที่การทำงานคล้ายคลึงกันคือ หากเราให้ทั้งอินพุท และ เป็น โวลท์เอาท์พุทจะได้เป็น โวลท์ เนื่องจากไดโอดทั้งสองตัวจะได้รับไบอัสกลับจึงไม่นำกระแส ทำให้ค่าที่วัดได้จากจุด Y ซึ่งวัดตกคร่อม จะไม่มีแรงดันตกคร่อม แต่หากให้อินพุท และ ตัวใดตัวหนึ่งหรือ ทั้งสองอินพุท ต่อกับ + 10 โวลท์ จะทำให้เอาท์พุทที่วัดได้ ณ.จุด เป็น + 10 โวลท์ (ในทางปฏิบัติจะหักค่าแรงดันที่ตกคร่อมไดโอดขณะไบอัสตรงประมาณ 0.6-0.7 โวลท์ทำให้ตัวใดตัวหนึ่งหรือทั้งสองตัวสามารถนำกระแสได้ ซึ่งเอาท์พุทที่วัดได้จะเป็นค่าแรงดันจากแหล่งจ่ายแรงดัน

)
ลำดับ
อินพุท
เอาท์พุท
อินพุท
เอาท์พุท
A
B
Y
A(V)
B(V)
Y
(V)
1
0
0
0
0
0
0
2
0
1
1
0
+10
+10
3
1
0
1
+10
0
+10
4
1
1
1
+10
+10
+10
) Truth Table
รูปที่ 3.16 แสดงไดโอดลอจิกต่อเป็น OR gate

3.6     RTL (Resistor-Transistor Logic)
RTL จะเป็นวงจรลอจิกที่ประกอบไปด้วย Resistor และ Transistor จากรูปที่ 3.17 เป็นตัวอย่างของวงจร RTL ที่ใช้สร้างเป็น NOR gate ซึ่งมีการทำงานของวงจรคือ ถ้าให้อินพุท และ เป็น ทั้งคู่ จะทำให้ที่ขาเบสของทรานซิสเตอร์ทั้งสองไม่มีกระแสไหลเข้า ทำให้ทรานซิสเตอร์ทั้งสองอยู่มรสภาวะ OFF ค่าที่ปรากฎที่เอาท์พุทจะเป็นการวัดตกคร่อมขา และ ของทรานซิสเตอร์ ซึ่งขณะนี้จะเป็นภาวะ Open Circuit ทำให้วัดที่เอาท์พุทได้เท่ากับ+Vcc แต่ถ้ามีอินพุท และ ขาใดขาหนึ่งหรือทั้งสองขา จะทำให้ทรานซิสเตอร์ตัวใดตัวหนึ่งหรือทั้งสองตัว ON ค่าที่วัดได้ที่เอาท์พุทจะเท่ากับ โวลท์หรือ 0.2 โวลท์




รูปที่ 3.17 RTL ที่ต่อเป็น NAND gate 2 input

3.8     DTL (Diode-Transistor Logic)

                DTL เป็นไอซีที่มีโครงสร้างหลักภายในเป็นไดโอดและทรานซิสเตอร์ โดยไดโอดจะทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมไบอัสที่จ่ายให้แก่ขาเบสของทรานซิสเตอร์ ซึ่งทรานซิสเตอร์จะถูกต่อให้ทำงานในลักษณะของทรานซิสเตอร์สวิทช์ นั่นคือจะให้ผลที่เอาท์พุทในลักษณะของ ON และ OFF รูปที่ 3.18 เป็นวงจรตัวอย่างของ DTL ที่ถูกต่อเป็น NAND gate

รูปที่ 3.18 DTL ที่ต่อเป็น NAND gate 2 input




3.8     TTL (Transistor- Transistor Logic)
                TTL เป็นการพัฒนามาจาก DTL ทำให้วงจรมีเสถียรภาพมากขึ้น โครงสร้างภายในจะประกอบด้วยทรานซิสเตอร์เป็นหลัก ซึ่งจากรูปที่ 3.19 เป็นวงจร TTL พื้นฐานที่ใช้เป็น NAND gate


รูปที่ 3.19 เป็นวงจร TTL พื้นฐานที่ต่อเป็น NAND gate 3 input

                ไอซี TTL เป็นตระกูลที่มีเบอร์เป็นตัวเลขที่ขึ้นต้นด้วย 74  ซึ่งมีชนิดแตกต่างกันไปตาม ฟังก์ชัน ลอจิก ความเร็ว การกระจายกำลัง และรูปร่าง ดังนี้

แบบ
ตัวเลขขึ้นต้น
ลักษณะ
มาตรฐาน
74
รุ่นมาตรฐาน ราคาถูก ความถี่ที่ใช้งานถูกจำกัดที่ค่าความถี่ประมาณ 20 MHz
กำลังงานสูง
74H
ให้กำลังเอาท์พุทสูงสุด แต่สูญเสียกำลังมากที่สุด ความเร็วในการสวิทช์สูง ซึ่งจะได้ความเร็วประมาณ 6 nS
กำลังงานต่ำ
74L
กระจายกำลังต่ำที่สุด  ความเร็วในการสวิทช์จะช้ากว่าแบบอื่น ๆ
ช๊อตกี้
74S
ใช้ไดโอดชนิดช๊อตกี้ ทำให้มีความเร็วสูงสุด ซึ่งนิยมใช้ในย่านความถี่สูง
CMOS
74HC
มีความเร็วสูง
กำลังงานต่ำและช๊อตกี้
74LS
เป็นที่นิยมสูงสุด เนื่องจากใช้กำลังงานต่ำและมีความเร็วสูงสุด
ตารางแสดงตระกูลพื้นฐานของ TTL

3.9     CMOS (CMOS Logic)

                ตระกูลซีมอสเป็นไอซีดิจิตอลอีกประเภทหนึ่งที่นิยมใช้กันมากนอกจากไอซี TTL คำว่าCMOS  ย่อมาจาก Complementary Metal-Oxide-Semiconductor ข้อได้เปรียบของไอซี CMOS เห็นจะได้แก่ ใช้กำลังไฟน้อย ใช้ไฟเลี้ยงได้สูง สัญญาณรบกวนจะสอดแทรกการทำงานได้ยาก ให้ความหนาแน่นของวงจรไอซีต่อชิพสูง แต่เนื่องจาก CMOS เป็นอุปกรณ์ที่มีอิมพีแดนซ์สูงมาก ดังนั้นประจุไฟฟ้าสถิตย์ที่มีค่ามาก ๆ อาจทำให้ส่วนของฉนวนที่เกทเกิดการเสียหายได้ ในการใช้งานจึงต้องระมัดระวังในการจับต้อง CMOS ปกติเราจะต้องเก็บไอซีประเภทนี้ไว้บนแผ่นสารตัวนำเพื่อกันไม่ให้มีการสะสมประจุที่ขาของไอซี ข้อเสียอีกประการหนึ่งของไอซี CMOS คือจะมีการทำงานค่อนข้างช้า ไอซีพวก CMOS ที่เห็นใช้งานกันจะมีตระกูลที่มีเบอร์ที่เป็นตัวเลขที่ขึ้นต้นด้วย 4000 หรือ 14000 ซึ่งสามารถใช้แทนเกทต่าง ๆ เช่นเดียวกับไอซี TTL นอกจากนี้ในการใช้งานไอซี CMOS จะต้องคำนึงถึงหลัการที่สำคัญดังนี้
1.       อินพุทที่ไม่ได้ใช้ควรต่อกับ VSS หรือ VDD โดยมีตัวต้านทานขนาด 200 KW ถึง 1 MW ต่อคั่น
2.       ขนาดของแรงดันอินพุทจะต้องไม่เกินช่วงแรงดันที่ใช้งาน VSS และ VDD เพราะจะทำให้ไดโอดที่มีไว้ป้องกันซีมอสในไอซีเกิดการเสียหายได้
3.       ไม่ควรให้สัญญาณอินพุทกับไอซีก่อนป้อนไฟเลี้ยง
4.       ในการโหลดเอาท์พุทของซีมอส ควรจะต้องพิจารณาขนาดของกระแสซิงค์และกระแสซอร์ส
5.       ไม่ควรต่อ คร่อมเอาท์พุทของซีมอส และเอาท์พุทก็ไม่ควรต่อกับ VSS หรือ VDD โดยตรง
6.       ในการใช้ซีมอส ถ้าบังคับให้แรงดันอยู่ในช่วงกำลังเปลี่ยนสถานะ จะทำให้ซีมอสร้อนมาก และอาจเกิดการเสียหายได้
7.       สัญญาณนาฬิกาที่ใช้กับซีมอส ควรมีช่วงเวลาขาขึ้น และขาลงไม่น้อยกว่า  5 nS และ 15 nS ตามลำดับ เพราะถ้าช้าและความถี่สูงจะทำให้ซีมอสร้อน
8.       แหล่งจ่ายไฟที่ใช้ควนอยู่ระหว่างช่วง 3 – 15 โวลท์
9.       ไม่ควรมีตัวต้านทานต่ออนุกรมกับแหล่งจ่ายไก่อนป้อนเข้า VDD
10.    การสลับขั้วไฟเลี้ยงโดยบังเอิญ จะทำให้ซีมอสเกิดการเสียหายได้โดยทันทีทันใด



3.10   ค่าต่าง ๆ ที่ควรทราบของวงจรลอจิกเกท


                ค่าปลอดสัญญาณรบกวน (noise immunity) คือ ขนาดของการเปลี่ยนแปลงแรงดันจากระดับที่ยังคงถือว่าเป็นลอจิกต่ำ หรือ สูง โดยวงจรลอจิกชนิดซีมอสจะมีค่าปลอดสัญญาณรบกวนดีกว่าแบบอื่น ๆ  ซึ่งค่าต่าง ๆ เหล่านี้จะสามารถแสดงได้ดังรูปที่ 3.20
รูปที่ 3.20 แสดงระดับแรงดันที่เป็นช่วงปลอดสัญญาณรบกวน

จากรูปที่ 3.20 ค่าต่าง ๆ ที่เป็นค่าแสดงการปลอดสัญญาณรบกวน คือ
                ช่วงปลอดสัญญาณรบกวนระดับสูง                =             VOH,min  -  VIH,min
                                                                                                =             2.4 V  -  2 V
                                                                                                =             400 mV
                โดย         ค่า   VIH,min            คือ ค่าต่ำสุดของแรงดันที่อินพุทที่ถือว่าเป็นระดับลอจิกสูง
                ค่า   VOH,min            คือ ค่าต่ำสุดของแรงดันที่เอาท์พุทที่ถือว่าเป็นระดับลอจิกสูง
                ช่วงปลอดสัญญาณรบกวนระดับต่ำ                =             VIL,max  -  VOL,max
                                                                                                =             0.8 V  -  0.4 V
                                                                                                =             400 mV
                โดย         ค่า   VOL,max           คือ ค่าสูงสุดของแรงดันที่เอาท์พุทที่ถือว่าเป็นระดับลอจิกต่ำ
                ค่า   VIL,max             คือ ค่าสูงสุดของแรงดันที่อินพุทที่ถือว่าเป็นระดับลอจิกต่ำ
            ความเร็วในการทำงาน (Speed of Operation) คือ ช่วงเวลาที่อินพุทเปลี่ยนสถานะแล้วเอาท์พุทจะเปลี่ยนสถานะตามใช้เวลามากน้อยเพียงไรหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเวลาหน่วง (Delay Time) ปกติวงจรลอจิกชนิดCMOS จะมีเวลาในการทำงานช้าที่สุดนั่นคือจะมีเวลาหน่วงมาก ประมาณ 25 nS
            การสูญเสียกำลัง (Power Dissipation) คือ กำลังไฟฟ้าที่เกทต้องการเพื่อให้ทำงานได้วงจรลอจิกซีมอสเป็นวงจรเกทที่มีการสูญเสียกำลังน้อยที่สุด ซึ่งจะวัดค่าเป็นมิลลิวัตต์ต่อไอซีหึ่งตัวหรือต่อเกทหนึ่งเกท
            ความสามารถในการต่อร่วมกัน ความสามารถในการต่อโหลดที่เอาท์พุทของเกจว่าต่อได้มากน้อยเพียงไรเราเรียกว่า แฟนเอาท์ (Fan-Out) และความสามารถในการรับอินพุทหรือตัวแปรที่แตกต่างกันเราเรียกว่า แฟนอิน(Fan-In)
            กระแสซิงค์และกระแสซอร์ส (Current Sink and Current Source) ในขณะที่ต่อเกทร่วมกันถ้าเกิดกระแสไหลจากเอาท์พุทเข้าไปยังอินพุทของเกทตัวอื่นเราเรียกว่า กระแสซอร์ส ซึ่งจะเกิดกระแสลักษณะนี้เมื่อเอาท์พุทมีลอจิกเป็น “1” แต่หากเกิดการไหลของกระแสจากอินพุทไยังเอาท์พุทของอีกเกทหนึ่งเราเรียกว่ากระแสซิงค์ ซึ่งจะเกิดกระแสลักษณะนี้เมื่อเอาท์พุทมีลอจิกเป็น “0”


RTL
DTL
TTL
CMOS
เวลาหน่วง (โดยเฉลี่ย)
12 nS
30 nS
12 nS
25 nS
การสูญเสียกำลังต่อเกท
15 mW
15 mW
15 mW
mS
ค่าปลอดสัญญาณการรบกวน
แย่
ดี
ดี
ดีมาก
จำนวนแฟนเอาท์
5
8
10
>50
ตารางแสดงการเปรียบเทียบค่าต่าง ๆ ระหว่างลอจิกเกทชนิดต่าง ๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น