ภาพจ๊อบรวมๆ 3

ภาพจ๊อบรวมๆ4

ภาพจ๊อบรวมๆ2

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แหล่งกำเนิดไฟฟ้า

แหล่งกำเนิดไฟฟ้า( Power Souse)
          แหล่งกำเนิดไฟฟ้า( Power Souse) คือต้นกำเนิดของกำลังไฟฟ้าหรือแรงเคลื่อนไฟฟ้าซึ่งมีวิธีการต่างๆตั้งแต่ยุคแรกๆที่ค้นพบแหล่งกำเนิดไฟฟ้าจนมาถึงยุคปัจจุบัน และพัฒนาตลอดเวลาเพื่อให้ได้แหล่งกำเนิดที่มีคุณภาพ และประสิทธิภาพสูงสุด แหล่งกำเนิดไฟฟ้าได้มาจากแหล่งต่างๆดังนี้
1.เกิดจากการเสียดสีหรือขัดถู(Friction)
2.เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมี(Chemicals)
3.เกิดจากความร้อน (Heat)
4.เกิดจากแสง(Light)
5.เกิดจากแรงกดอัด(Pressure)
6.เกิดจากสนามแม่เหล็ก(Magnetism) 
แหล่งกำเนิดไฟฟ้าจากแหล่งต่างๆเหล่านี้ จะทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตและไฟฟ้ากระแส 
รูปที่ แหล่งกำเนิดไฟฟ้าจากแหล่งต่างๆ 

 ไฟฟ้าสถิต (Static Electricity)
        ไฟฟ้าสถิตเรียกว่า สแตติค อิเล็กตริกซิตตี้(Static Electricity) เกิดจากการเสียดสีของวัตถุ เช่นแท่งอำพัน นำมาขัดถูกับผ้าขนสัตว์ แท่งอำพันจะเกิดการเสียโปรตอน (มีประจุเป็นบวกทำให้แท่งอำพันแสดงประจุไฟฟ้าลบออกมา สามารถดูดวัตถุเบาๆ เช่นเศษกระดาษ นอกจากนี้ไฟฟ้าสถิตยังเกิดจากธรรมชาติ เช่น ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง เป็นต้น 
รูปที่ ประจุไฟฟ้าเกิดขึ้น เมื่อนำผ้าขนสัตว์ขัดถูกับแท่งอำพัน
 ไฟฟ้ากระแส
        ไฟฟ้ากระแสคือ แหล่งกำเนิดไฟฟ้าที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมา ไฟฟ้ากระแส คือไฟฟ้าที่มีการเคลื่อนที่ของ อิเล็กตรอน ไปตามสายตัวนำหรือสายไฟฟ้าด้วยความเร็วเท่าแสงคือ 186,000 ไมล์ ต่อวินาที หรือ 300 ล้านเมตรต่อวินาที
รูปที่ แหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง

 ไฟฟ้ากระแสตรง
        ไฟฟ้ากระแสตรง เรียกว่า ไดเร็ค เคอเรนท์ (Direct Current ) เรียกชื่อย่อว่า ไฟดีซี (DC) ไฟฟ้ากระแสตรง คือการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่มีทิศทางการไหลเพียงทิศทางเดียว โดยกระแสอิเล็กตรอนจะไหลจากขั้วลบไปยังขั้วบวก
    แหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง ที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมี แบ่งตามลักษณะการใช้งานได้ ชนิด คือ
                1.เซลล์ไฟฟ้าปฐมภูมิ เรียกว่า ไพมารี่เซลล์ ( Primary Cell)  เป็นเซลล์ที่เมื่อใช้งานจนหมดประจุไฟฟ้าแล้วไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก เช่น ถ่านไฟฉายที่ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วๆไป
               2.เซลล์ไฟฟ้าทุติยภูมิ เรียกว่า เซคคั่นดารี่เซลล์ (Secondary Cell) เซลล์ไฟฟ้าแบบทุติยภูมิ เมื่อมีการประจุไฟฟ้าเข้าไปในเซลล์ไฟฟ้าเต็มอัตราที่ระบุไว้ในเซลล์ไฟฟ้าแล้ว เมื่อนำมาใช้งานประจุไฟฟ้าจะลดลงจนหมดไป แต่เราสามารถที่จะนำไปประจุไฟฟ้าใหม่ได้ เพื่อนำไปใช้งานได้อีก ลักษณะนี้คือ แบตเตอรี่รถยนต์ ถ่านนิเกิลแคดเมี่ยม ( Nickel Cadmium) เป็นต้น


 ถ่านไฟฉาย
               ถ่านไฟฉาย มีโครงสร้างคือ ตัวถังภายนอกจะเป็นสังกะสี ทำหน้าที่เป็นขั้วลบ ภายในจะมีแท่งคาร์บอน (Carbon) ทำหน้าที่เป็นขั้วบวก โดยมีสารเคมีเพื่อทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีและก่อให้เกิดประจุไฟฟ้า สารเคมีที่ใช้จะเป็นพวกแอมโมเนียร์คลอไรด์ และแมงกานีสไดอ็อกไซด์ โดยจะมีแรงเคลื่อนไฟฟ้า 1.5 โวลต์เป็นมาตรฐาน
       ถ่านไฟฉายที่นิยมใช้งานโดยทั่วไป จะมี ขนาด คือ ขนาดใหญ่ กลาง เล็ก การจ่ายไฟดีซี แต่ละขนาดจะให้แรงดันไฟ 1.5 V (ยกเว้นกรณีขนาดพิเศษและแต่ละขนาดจะมีขั้วบวกและขั้วลบที่แน่นอน

รูปที่ ตัวอย่างถ่านไฟฉายที่ใช้งานทั่วไป

                ถ่านไฟฉาย UM-1ST เป็นถ่านไฟฉายขนาดใหญ่ มีแรงดันไฟฟ้า 1.5 โวลต์ แอมแปร์
                ถ่านไฟฉาย UM-2SP เป็นถ่านไฟฉายขนาดกลาง มีแรงดันไฟฟ้า 1.5 โวลต์ แอมแปร์
                ถ่านไฟฉาย UM-3SP เป็นถ่านไฟฉายขนาดเล็ก มีแรงดันไฟฟ้า 1.5 โวลต์ แอมแปร์

รูปที่ ถ่านไฟฉายชนิด โวลต์ แอมแปร์

  ถ่านไฟฉายชนิดพิเศษ
        ถ่านไฟฉายชนิดพิเศษ ผลิตออกมาเพื่อสะดวกกับอุปกรณ์ที่ใช้ตลอด เหมาะสมกับการพัฒนาเทคโนโลยีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆและเก็บประจุไว้ได้นาน เช่นถ่านไฟฉาย เฮฟวี่ดิวตี้”  ( Heavy Duty) และ “ ซูเปอร์ เฮฟวี่ดิวตี้”  ( Super  Heavy Duty) เซลล์ไฟฟ้าแบบนี้ สร้างมาจากสารอัลคาร์ไลน์ หรือเรียกว่าถ่านไฟฉายแบบ อัลคาร์ไลน์” ลักษณะจะเหมือนกับถ่านไฟฉายทั่วๆไป คือส่วนเปลือกนอกจะเป็นขั้วลบ(ด้านล่างและขั้วด้านบนจะเป็นขั้วบวก อายุการใช้งานจะนานกว่าถ่านไฟฉายธรรมดา
รูปที่ ถ่านไฟฉายแบบควอทซ์
                 ยังมีถ่านไฟฉายแบบใช้งานกับนาฬิกา “ ควอทซ์,กล้องถ่ายรูป,เครื่องคิดเลข,เกมกด ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ถ่านแบบ “ กระดุม” ถ่านไฟฉายแบบนี้จะมีชนิด เมอร์คิงรี่อ๊อกไซด์,ชนิดลิเทียม ชนิดแคดเมียม,ชนิดนิเกิลแคดเมียม เป็นต้น 

แบตเตอรี่(Battery)
         แบตเตอรี่  เป็นเซลล์ไฟฟ้าแบบเปียกเรียกว่า แบบทุติยภูมิ เซลล์ไฟฟ้าแบบนี้ เมื่อทำการประจุ หรือชาร์จ ( Charge) จนเต็มแล้ว เมื่อนำไปใช้งานประจุไฟฟ้าที่เก็บไว้จะค่อยๆลดลง แต่จะสามารถนำมาชาร์จใหม่ได้
                ส่วนประกอบด้วยแผ่นโลหะ แผ่น คือ แผ่นบวก ( Positive Plate) และแผ่นลบ (Negative Plate)  มีสารเคมี คือ กรดซัลฟูริกเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาภายในประกอบด้วยช่องเซลล์ไฟฟ้า แต่ละช่องมีแรงเคลื่อนไฟฟ้าโวลต์ และที่สำคัญจะมีน้ำกลั่นเป็นน้ำยาทำปฏิกิริยาเคมี

รูปที่ แสดงโครงสร้างแบตเตอรี่
ส่วนประกอบของแบตเตอรี่
1. ขั้วแบตเตอรี่ (Pole)
2.  แผ่นธาตุลบ (Negative Plate)
3.  แผ่นกั้น (Separator & Glass mat)
4.  แผ่นธาตุบวก (Positive Plate)
5.  จุกปิด (Vent Plug)
6.  เปลือกหม้อและฝาหม้อ (Container & Lid)
7.  ขั้ว (Terminal )

 ตัวแปร
        ตัวแปรหมายถึงปริมาณซึ่งสามารถที่จะกระทำการเปลี่ยนค่าได้อย่างง่ายดายและมีหน่วยเสมอ  ในวงจรไฟฟ้าจากสมการกฎของโอห์มคือ  แรงดันเท่ากับกระแสคูณด้วยความต้านทาน  หรือ V = IR  จากกฎนี้จะเห็นได้ว่าปริมาณที่เป็นตัวแปรคือ  แรงดันและกระแสไฟฟ้า   ส่วนความต้านทานมีค่าคงที่      
              
พารามิเตอร์
         พารามิเตอร์เป็นค่าคงที่  ซึ่งมีลักษณะคุณสมบัติที่ได้มาจากความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวแปร  ปกติในวงจรไฟฟ้าค่าพารามิเตอร์แสดงให้เห็นถึงลักษณะสมบัติของวงจรซึ่งขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ของวงจรนั้น ๆ   ค่าที่หมายถึงปริมาณที่ไม่เปลี่ยนแปลง  และใช้เป็นตัวอ้างอิงเปรียบเทียบกับตัวแปรอื่น ๆ  แต่ค่าพารามิเตอร์ในวงจรไฟฟ้านั้นบางครั้งสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงไปได้เช่นกันโดยขึ้นอยู่กับสภาวการณ์การทำงานของวงจร

 หน่วย
        หน่วยหรือยูนิตบอกให้ทราบถึงขนาดหรือจำนวนของปริมาณ  ปริมาณที่เป็นตัวเลขทั้งหมดที่มีอยู่ในวงจรไฟฟ้าจะไม่มีความหมายใด ๆ ทั้งสิ้น  ถ้าหากว่าไม่เขียนค่ากำหนดเอาไว้
     หน่วยบ่งให้ทราบถึงค่าของปริมาณที่ระบุไว้อย่างชัดแจ้ง  และสามารถนำไปเปรียบเทียบกับปริมาณอื่น ๆ  ได้  ตัวอย่างของปริมาณทางไฟฟ้า  เช่น  แรงดันมีหน่วยเป็นโวลต์  กระแสมีหน่วยเป็นแอมแปร์  กำลังไฟฟ้ามีหน่วยเป็นวัตต์  เป็นต้น

 ระบบหน่วย  SI
        ในการประชุมนานาชาติทั่วไปครั้งที่  11 เกี่ยวกับน้ำหนักและการวัดในปี ค.. 1960  ได้ตกลงให้นำเอาระบบหน่วย SI  ( International  System of   Units ) นี้มาใช้
หน่วย SI ประกอบด้วยหน่วยพื้นฐาน หน่วย  ดังแสดงในตาราง 

ปริมาณ

ชื่อย่อหน่วยพื้นฐาน

สัญลักษณ์
ความยาว
มวล
เวลา
กระแสไฟฟ้า
อุณหภูมิ
ความเข้มของแสงสว่าง
เมตร
กิโลกรัม
วินาที
แอมแปร์
เคลวิน
เคนเดลต้า

m
Kg
s
A
K
cd
     ปกติอุณหภูมิที่เป็นตัวแปรเสมอ  และมีผลต่อคุณสมบัติของวัสดุทางไฟฟ้าเป็นอย่างมาก   หน่วยของอุณหภูมิอีกหน่วยหนึ่งที่เรามักจะพบเสมอคือ  องศาเซลเซียส  การเปลี่ยนองศาเซลเซียสให้เป็นองศาเคลวินสามารถทำได้โดการบวก 273.15  เข้าไป หรืออุณหภูมิ  0  องศาเซลเซียสมีค่าเท่ากับ  273.15  -องศาเคลวิน
 ตัวอย่าง   ความสัมพันธ์ระหว่างองศาเซลเซียสกับองศาฟาเรนไฮต์
                                องศาเซลเซียส = (องศาเฟาเรนไฮต์ - 32) 
กำหนดให้อุณหภูมิของห้องเท่ากับ 86 องศาฟาเรนไฮต์ จงเปลี่ยนให้เป็นองศาเซลเซียสและเคลวิน
วิธีทำ      อุณหภูมิเป็นองศาเซลเซียส =            องศาเซลเซียส
อุณหภูมิเป็นองศาเคลวิน  องศาเซลเซียส + 273.15
                                                = 30 + 273.15 =303.15 องศาเคลวิน


สัญลักษณ์
        การเขียนคำหรือข้อความที่มีความยาว ๆ นั้น  ถ้าหากว่าเป็นการเขียนที่ซ้ำๆ กันหลายครั้ง  แล้วจะทำให้ยุ่งยากมาก  ฉะนั้นเราจึงใช้สัญลักษณ์เขียนแทน  ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการเขียนและสั้นด้วย
     การเขียนสัญลักษณ์แทนปริมาณและหน่วยนั้นจะเห็นได้ว่ามีจำนวนมากและสลับซับซ้อนด้วย  ฉะนั้นเพื่อที่จะลดความยุ่งยากและสลับซับซ้อนดังกล่าวข้างต้นเราจึงแบ่งการเขียนตัวอักษรออก เป็น  2  ลักษณะ  กล่าวคือ  ถ้าเขียนตัวตรงก็หมายถึงสัญลักษณ์ที่ใช้แทนหน่วย  และถ้าแบบตัวเอนก็หมายถึงสัญลักษณ์ที่ใช้แทนปริมาณ ดังตัวอย่างเช่นVหมายถึง โวลต์ (หน่วย)และ V  หมายถึงแรงดัน ปริมาณ หรือ หมายถึงความดันปริมาณ )และ Pหมายถึงพาสคาล หน่วย )



หลอดไฟฟ้า

หลอดไฟฟ้า                    
           
หลอดไฟฟ้าที่มีใช้กันอยู่มีหลายชนิดด้วยกัน หลอดแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติทางแสงและทางไฟฟ้าต่างกัน ในการเลือกหลอดเพื่อการประหยัดพลังงานไฟฟ้า ต้องเลือกหลอดที่มีประสิทธิผล (ลูเมนต่อวัตต์สูง อายุการใช้งานนาน และคุณสมบัติทางแสงของหลอดด้วย แต่งานบางอย่างก็ต้องเลือกใช้หลอดที่ไม่ประหยัดพลังงาน ฉะนั้นการนำหลอดไปใช้งานต้องพิจารณาความเหมาะสมในการนำไปใช้

2.1 ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกหลอดไฟฟ้า
         
การเลือกใช้หลอดไฟฟ้าเพื่อใช้งานต้องพิจารณาหลายๆองค์ประกอบร่วมกันก่อนที่จะนำไปใช้งาน
2.1.1 ค่าฟลั๊กซ์การส่องสว่าง (Luminous flux)
         หมายถึง ปริมาณแสงสว่าง หน่วยเป็นลูเมน       
2.1.2 ค่าประสิทธิผล (Efficacy)
         หมายถึง ปริมาณแสงที่ออกมาต่อวัตต์ที่ใช้ (ลูเมนต่อวัตต์หลอดที่มีค่าประสิทธิผลสูงหมายความว่าหลอดนี้ให้ปริมาณแสงออกมามากแต่ใช้วัตต์ต่ำ   
2.1.3 ความถูกต้องของสี (Color rendering)
         หมายถึง สีที่ส่องไปถูกวัตถุให้ความถูกต้องสีมากน้อยเพียงใด มีหน่วยเป็น เปอร์เซนต์ หลอดที่มีค่าความถูกต้อง 100% หมายความว่าเมื่อใช้หลอดนี้ส่องวัตถุชนิดหนึ่งแล้วสีของวัตถุที่เห็นไม่มีความเพี้ยนของสี
2.1.4 อุณหภูมิสี (Color temperature)
หมายถึง สีของหลอดเทียบได้กับสีที่เกิดเนื่องจากการเผาวัตถุดำอุดมคติให้ร้อนที่อุณหภูมินั้น เช่น หลอดอินแคนเดสเซนต์มีอุณหภูมิสีประมาณ 3000 องศาเคลวิน
2.1.5 มุมองศาในการใช้งานหลอด (Burning position)
หมายถึง มุมองศาในการใช้งานหลอด สำหรับการติดตั้งหลอดตามคำแนะนำของผู้ผลิต
2.1.6 อายุการใช้งาน (Life time)
หมายถึงอายุการใช้งานของหลอดโดยเฉลี่ยของหลอด หน่วยเป็นชั่วโมง








2.2 หลอดอินแคนเดสเซนต์
    
หลอดอินแคนเดสเซนต์เป็นหลอดที่ไม่ประหยัดพลังงาน      การใช้หลอดประเภทนี้ใช้เฉพาะในพื้นที่ที่ต้องการวัตถุประสงค์ทางด้านความสวยงาม แสงสี หรือ กรณีที่ต้องการเน้นโดยที่หลอดอื่นทำไม่ได้ สามารถหรี่ไฟได้โดยง่าย ราคาถูก และจุดติดทันที
ก)   ถ้าจำเป็นต้องใช้หลอดประเภทนี้หลอดฮาโลเจนเป็นหลอดที่ประหยัดที่สุดในตระกูลนี้ แต่ก็ยังถือว่าเป็นหลอดไม่ประหยัดพลังงานเมื่อเทียบกับหลอดชนิดอื่นๆ
ข)    กรณีที่จำเป็นต้องใช้หลอดอินแคนเดสเซนต์ เราสามารถยืดอายุการใช้งานของหลอดได้โดยใช้สวิตช์หรี่ไฟ  สำหรับหลอดฮาโลเจน การหรี่ไฟอาจทำให้อายุการใช้งานสั้น
ค)        หลอดฮาโลเจนประหยัดกว่าหลอดอินแคนเดสเซนต์ทั่วไป    และมีอายุการใช้งานนานกว่าประมาณ 2-3 เท่า
ง)    ในการติดตั้งหลอดฮาโลเจน   หากมือไปสัมผัสด้านในทำให้หลอดมีอายุการใช้งานสั้น ถ้าเผลอไปจับถูกตัวหลอดให้ทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์
จ)    หากหลีกเลี่ยงได้  ไม่ควรใช้หลอดอินแคนเดสเซนต์หรือหลอดฮาโลเจนในการให้แสงสว่างมากนัก เนื่องจากค่าประสิทธิภาพผล (ลูเมนต่อวัตต์ซึ่งทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมาก
ฉ)        หลอดประเภทนี้ใช้กับงานส่องเน้น ซึ่งสามารถให้แสงเป็นวงหรือจุดได้ซึ่งหลอดประเภทอื่นให้ไม่ได้
ช)    หลอดประเภทนี้มีข้อดีกว่าหลอดประเภทอื่นในเรื่องการติดทันทีเมื่อป้อนไฟฟ้า และเมื่อแรงดันต่ำก็ยังให้แสงสว่างได้ แต่ปริมาณแสงอาจลดลง เหมาะสำหรับงานแสงสว่างฉุกเฉินที่มีสภาพการจ่ายไฟไม่ดี
ซ)        การใช้สวิตช์หรี่ไฟ   ให้ระวังเรื่องของฮาร์มอนิกที่อาจจะไปรบกวนเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ และมีเสียงฮัมที่สวิตช์หรี่ไฟ



ตาราง 2.1  คุณสมบัติโดยประมาณของหลอดชนิดต่างๆ

 

ชนิดของหลอดไฟ


คุณสมบัติของหลอด
ช่วงกำลังที่มี
(วัตต์)
ปริมาณแสงที่ให้
(ลูเมน, lm)
ความเข้มการส่องสว่าง
(แคนเดลา, Cd)
ประสิทธิภาพของการส่องสว่าง
(ลูเมน/วัตต์, lm/W)
อุณหภูมิสี
(เคลวิน, K)
ดัชนีความถูกต้องของสี
อายุการใช้งาน
(ชั่วโมง)
1. หลอดอินแคนเดสเซนต์
หลอดไส้ธรรมดา

15 - 200

90 - 3,150


5 - 12

2,500 - 2,700

100

1,000
# หลอดไส้ฟลักซ์การส่องสว่างสูง
ชนิดมีตัวสะท้อนแสง

25 - 300

210 - 1,300

180 - 40,000

8 - 13

2,500

100

1,000
# หลอดไส้ทังสเตน-ฮาโลเจน
แรงดันปกติ
แรงดันต่ำ

40 - 2,000
5 - 150

490 - 44,000
60 - 3,200

300 - 48,000
(เฉพาะที่มีตัวสะท้อนแสง)

12 - 22
12 - 22

2,800
3,000


1,500 - 3,000
2,000 - 3,000
2. หลอดปล่อยประจุความดันไอต่ำ
หลอดฟลูออเรสเซนต์ธรรมดา
ชนิดตรง (T8)
ชนิดกลม (T9)


10 - 58
22 - 40


450 - 4,600
1,350 - 2,800



45 - 80
60 - 70


2,700 - 6,500
2,700 - 6,500


60 - 80
60 - 80


8,000 - 10,000
5,000 - 8,000
# หลอดฟลูออเรสเซนต์ฟลักซ์การส่องสว่างสูง
ชนิดตรง (T8)
ชนิดตรง (T5)

18 - 58
14 - 54

1,300 - 5,200
1,300 - 5,200


73 - 93
90 - 93

2,700 - 6,500
2,700 - 6,500

80 - 90
80 - 90

8,000 - 10,000
10,000 - 12,000
# หลอดคอมแพกต์ฟลูออเรสเซนต์
ชนิดมีบัลลาสต์อิเล็คทรอนิกส์ในตัว
ชนิดมีบัลลาสต์แกนเหล็กในตัว
ชนิดไม่มีบัลลาสต์ในตัว

5 - 23
9 - 25
5 - 55

200 - 1,500
350 - 1,200
250 - 3,200


40 - 65
35 - 50
40 - 80

2,700 - 6,500
2,700 - 6,500
2,700 - 6,500

80 - 90
80 - 90
80 - 90

7,500 - 10,000
7,500 - 10,000
7,500 - 10,000
# หลอดโซเดียมความดันไอต่ำ
18 - 180
1,800 - 32,000

100 - 180
2,000
0 - 20
22,000 - 24,000
3. หลอดปล่อยประจุความดันไอสูง
หลอดไอปรอมแบบใช้บัลลาสต์
หลอดไอปรอทแบบไม่ใช้บัลลาสต์

50 - 1,000
80 - 160

1,800 - 58,000





30 – 60


3,000 - 4,200

40 - 60

20,000 - 24,000
# หลอดโซเดียมความดันไอสูง
35 - 1,000
2,400 - 130,000

70 - 130
2,000 - 2,200
30 - 50
18,000 - 24,000
# หลอดเมทัลฮาไลด์
35 - 2,000
2,400 - 240,000

60 - 120
2,900 - 6,000
60 - 90
8,000 - 15,000
หมายเหตุ  1. กรณีที่เลือกใช้หลอดของผลิตภัณฑ่ใดให้ยึดคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์นั้นเป็นเกณฑ์
2.     อายุการใช้งานในตาราง หมายถึง อายุการใช้งานที่กำหนดวิธีการทดสอบตามมาตรฐาน มอกหรือ IEC



ตาราง 2.2  การเลือกใช้งานหลอดแบบต่างๆ


ชนิดของหลอดไฟ

ลักษณะการใช้งานที่นิยมโดยทั่วไป
ให้แสงสว่างในบ้านพักอาศัย
ให้แสงสว่างในห้องสำนักงาน
ให้แสงสว่างฉายภายในอาคารสูง,โรงงาน
ให้แสงสว่าง
ภายนอกอาคาร
ให้แสงสว่างไฟถนน
ให้แสงสว่าง
ตกแต่ง ประดับ
ไปส่องอาคารส่องวัตถุสูง
ไฟส่องในระยะไกล
ไฟส่องสินค้าห้องแสดงสินค้า
ไฟแสงสว่างในห้องอาหาร
ไฟส่องสว่างในสนามกีฬา
ไฟส่องสว่างในที่สาธารณะ
1. หลอดอินแคนเดสเซนต์
หลอดไส้ธรรมดา

¡





¡



¡

¡


หลอดไส้ฟลักซ์การส่องสว่างสูง
ชนิดมีตัวสะท้อนแสง

¡

¡







¡

¡


หลอดไส้ทังสเตน-ฮาโลเจน
แรงดันปกติ
แรงดันต่ำ

¡







¡

¡

¡


2. หลอดปล่อยประจุความดันไอต่ำ
หลอดฟลูออเรสเซนต์ธรรมดา
ชนิดตรง (T8)
ชนิดกลม (T9)


¡


¡


¡


¡


¡





¡


¡



¡
หลอดฟลูออเรสเซนต์ฟลักซ์การส่องสว่างสูง
ชนิดตรง (T8)
ชนิดตรง (T5)


¡


¡


¡


¡


¡





¡


¡


หลอดคอมแพกต์ฟลูออเรสเซนต์
ชนิดมีบัลลาสต์อิเล็คทรอนิกส์ในตัว
ชนิดมีบัลลาสต์แกนเหล็กในตัว
ชนิดไม่มีบัลลาสต์ในตัว


¡


¡


¡


¡



¡





¡



¡
หลอดโซเดียมความดันไอต่ำ


¡
¡
¡







3. หลอดปล่อยประจุความดันไอสูง
หลอดไอปรอมแบบใช้บัลลาสต์
หลอดไอปรอทแบบไม่ใช้บัลลาสต์



¡

¡

¡







¡
หลอดโซเดียมความดันไอสูง


¡
¡
¡

¡
¡


¡
¡
หลอดเมทัลฮาไลด์


¡
¡


¡
¡
¡

¡
¡

2.3 หลอดปล่อยประจุความดันไอต่ำ

            หลอดปล่อยประจุความดันไอต่ำมี 3 ชนิดคือ หลอดฟลูออเรสเซนต์  หลอดคอมแพกต์ฟลูออเรสเซนต์ และหลอดโซเดียมความดันไอต่ำ

 

2.3.1  หลอดฟลูออเรสเซนต์
ก)   กรณีที่ใช้กับเพดานสูงเกินกว่า 5-7 เมตร หลอดประเภทนี้ไม่เหมาะเพราะต้องใช้จำนวนโคมมาก หรืออายุการใช้งานไม่มากพอ ทำให้ต้องเปลี่ยนหลอดบ่อย         ต้องเสียค่าใช้จ่ายในเรื่องการบำรุงรักษามาก
ข)    ถ้าจำเป็นต้องใช้หลอดประเภทนี้ที่เพดานสูงเกินกว่า 7 เมตรเช่นที่ใช้ในหลืบ เป็นต้น อาจใช้หลอดและวงจรแรปิดสตาร์ท(Rapid start) ซึ่งมีอายุการใช้งานประมาณ 20000 ชมเมื่อเทียบกับหลอดอุ่นไส้(Preheat)ที่มีอายุการใช้งานโดยเฉลี่ย 8000-10000 ชม.
ค)   การใช้งานของหลอดฟลูออเรสเซนต์ควรเลือกสีหลอดใช้ให้ถูกต้องจะทำให้คุณภาพการให้แสงดีขึ้น สีของหลอดฟลูออเรสเซนต์มีทั้งหลอด เดไลท์ (6500 K) คูลไวท์ (4200- 4500 K) และวอร์มไวท์ (2700-3000K)
ง)         งานที่ต้องการความส่องสว่างสูงกว่า 500 ลักซ์ ควรใช้หลอดเดไลท์
จ)        งานที่ต้องการความส่องสว่าง 300-500 ลักซ์ ควรใช้หลอดคูลไวท์
ฉ)        งานที่ต้องการความส่องสว่างต่ำกว่า 300 ลักซ์ ควรใช้หลอดวอร์มไวท์
ช)    ความส่องสว่างกับชนิดสีของหลอดที่แนะนำให้ใช้เป็นพื้นฐานเท่านั้น บางครั้งอาจไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ดังกล่าว เช่นพื้นที่ใกล้เคียงกันควรใช้หลอดที่มีสีเดียวกัน ตัวอย่างได้แก่ บริเวณงานเลี้ยงในโรงแรมที่ใช้หลอดอินแคนเดสเซนต์ และเมื่อเปิดประตูออกไปถึงอีกพื้นที่หนึ่งก็ควรใช้หลอดที่มีสีหลอดใกล้เคียงกัน อาจใช้หลอดวอร์มไวท์ เป็นต้น
ซ)    หลอดฟลูออเรสเซนต์ทั่วไป หรือฮาโลฟอตเฟตเมื่อใช้งานไปนาน จะมีปริมาณแสงลดลง15-20%  ปัจจุบันมีหลอดฟลูออเรสเซนต์ฟลั๊กการส่องสว่างสูงได้แก่หลอดฟลูออเรสเซนต์แบบไตรแบนด์ หรือไฟว์แบนด์ที่ให้ปริมาณแสงค่อนข้างคงที่ และมีสเปคตรัมสีดีกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ธรรมดา
ฌ)       ประสิทธิภาพของหลอดฟลูออเรสเซนต์แบบต่างๆดังนี้
หลอดฟลูออเรสเซนต์ธรรมดา                              45-80  ลูเมนต์ต่อวัตต์
หลอดฟลูออเรสเซนต์ฟลั๊กการส่องสว่างสูง            73-93  ลูเมนต์ต่อวัตต์
(ไตรแบนด์ หรือไฟว์แบนด์)        
หลอดคอมแพกต์ฟลูออเรสเซนต์                          35-80  ลูเมนต์ต่อวัตต์
ญ)       หลอดฟลูออเรสเซนต์มีฮาร์มอนิกส์มากน้อยขึ้นอยู่บัลลาสต์ที่ใช้ร่วมกับหลอด

2.3.2  หลอดคอมแพกต์ฟลูออเรสเซนต์

ก)   ใช้กับโคมไฟส่องลงในกรณีให้แสงทั่วไป ถือว่าประหยัดพลังงานแสงสว่างได้มากเมื่อเทียบกับการใช้หลอดอินแคนเดสเซนต์ในโคมไฟส่องลง
ข)        ใช้แทนหลอดอินแคนเดสเซนต์และฮาโลเจนได้กรณีที่เป็นทางด้านการส่องสว่างทั่วไป
ค)   การเลือกใช้ชนิดสีของหลอดมีความสำคัญสำหรับงานแต่ละชนิด ถ้าเป็นความส่องสว่างต่ำก็ควรใช้หลอดที่มีอุณหภูมิสีต่ำ คือสีเหลือง หรือหลอดวอร์มไวท์ ถ้าเป็นความส่องสว่างสูงก็ควรใช้หลอดที่มีอุณหภูมิสีสูง เช่นหลอดคูลไวท์
ง)    การเปลี่ยนหลอดคอมแพกต์ฟลูออเรสเซนต์แทนที่หลอดอินแคนเดสเซนต์ในโคมไฟส่องลงให้ระวังเรื่องการระบายความร้อน ซึ่งทำให้อายุการใช้งานของหลอดสั้นลงมากและระวังเรื่องแสงบาดตา
จ)    บริเวณที่จำเป็นต้องปิดไฟไว้นานๆ เช่น ไฟรั้ว ไฟทางเดิน อาจใช้หลอดคอมแพกต์ฟลูออเรสเซนต์ ซึ่งมีอายุการใช้งานนานกว่าหลอดอินแคนเดสเซนต์
ฉ)   แบบที่มีบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ในตัวจะมีฮาร์มอนิกส์สูง และในกรณีที่ต้องใช้หลอดจำนวนมากให้ระวังปัญหาเรื่องฮาร์มอนิก
ช)    หลอดคอมแพกต์ฟลูออเรสเซนต์ที่ใช้ในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงเกินไปหรือต่ำเกินไป ทำให้ปริมาณแสงสว่างจากหลอดลดลงมาก  ดังนั้นถ้าใช้หลอดประเภทนี้ต้องพิจารณาเรื่องนี้โดยเฉพาะโคมที่มีการระบายอากาศไม่ดี เป็นต้น

2.3.3  หลอดโซเดียมความดันไอต่ำ
ก)        ใช้กับงานที่ไม่ต้องการความถูกต้องสี เช่นไฟถนน  งานส่องบริเวณ
ข)        หลอดประเภทนี้มีประสิทธิผลสูงสุด เมื่อเทียบกับหลอดทุกชนิด
ค)        ไม่ควรใช้กับงานที่ต้องการความถูกต้องสี เช่น บริเวณเบิกเงิน ATM เป็นต้น
ง)         ไม่ควรใช้กับงานที่ต้องเปิดหลอดและสว่างทันที เช่น งานทางด้านความปลอดภัย

2.4 หลอดปล่อยประจุความดันไอสูง
               
หลอดปล่อยประจุความดันไอสูงมี 3 ชนิดคือ หลอดโซเดียมความดันไอสูง  หลอดปรอทความดันไอสูง และหลอดเมทัลฮาไลด์  สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการเลือกใช้หลอดประเภทนี้
ก)   มุมองศาในการใช้งานหลอด (Burning position) การใช้งานของหลอดต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตซึ่งจะระบุไว้ไม่เช่นนั้นจะมีผลต่อ ประสิทธิผล และอายุการใช้งานของหลอด
ข)    แรงดันของแหล่งจ่ายไฟ (Supply voltage) ของหลอดประเภทนี้จะต้องไม่มากหรือน้อยเกินกว่า 5% เพราะจะมีผลต่ออายุการใช้งานและอุณหภูมิสีของหลอด
ค)   อุปกรณ์ประกอบ เช่น บัลลาสต์ อิกไนเตอร์วงจรการต่อต้องใช้ให้เหมาะสม มิฉะนั้นจะมีผลต่ออายุการใช้งานของหลอด การจุดติด เป็นต้น
ง)         หลอดประเภทนี้ให้แสงสีที่ถูกต้องตามคุณลักษณะของหลอดหลังจากใช้งานไปแล้วประมาณไม่น้อยกว่า 100 ชม.
จ)        ไม่ควรใช้กับงานที่ต้องการการเปิดหลอดและสว่างทันที เช่น ระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉิน

2.4.1  หลอดปรอทความดันไอสูง
ก)        ใช้แทนหลอดฟลูออเรสเซนต์กรณีที่ใช้กับเพดานสูงๆ
ข)    ประสิทธิผลของหลอดประเภทนี้ต่ำที่สุดในตระกูลหลอดปล่อยประจุความดันไอสูง ระบบที่ใช้หลอดนี้ถูกที่สุดในตระกูลหลอดปล่อยประจุความดันไอสูง เหมาะสำหรับใช้กับงานประเภทโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป แสงสว่างสาธารณะที่ต้องการความถูกต้องสี เช่น ไฟถนน ไฟสาธารณะ บริเวณร้านค้า

2.4.2  หลอดโซเดียมความดันไอสูง
ก)        ใช้กับงานที่ไม่พิถีพิถันเรื่องความถูกต้องของสี เช่น โรงงานเหล็ก เป็นต้น
ข)    งานที่เหมาะใช้กับหลอดประเภทนี้ได้แก่ โรงงานที่ไม่มีปัญหาเรื่องความถูกต้องของสี ไฟส่องบริเวณที่ไม่ใช่ย่านธุรกิจ ไฟถนน ไฟสวนสาธารณะ
ค)   หลอดโซเดียมความดันไอสูงบางประเภทได้มีการพัฒนาให้มีค่าความถูกต้องของสีสูงและเหมาะใช้กับงานได้กว้างขวางขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาคุณสมบัติของหลอดเป็นประเภทไป
ง)         ประสิทธิผลของหลอดประเภทนี้สูงที่สุดในตระกูลหลอดปล่อยประจุความดันไอสูง
จ)        หลอดประเภทนี้ให้สีเหมาะสำหรับงานทางด้านความปลอดภัย เพราะตามีความไวต่อการมองเห็นที่โทนสีเหลือง

2.4.3  หลอดเมทัลฮาไลด์
ก)        ใช้กับงานที่ต้องการความถูกต้องสีมาก เช่น งานพิมพ์สี งานส่องสนามกีฬา และห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
ข)        ระวังการใช้หลอดขนาดวัตต์ต่างกันในพื้นที่เดียวกันเนื่องจากสีอาจมีความแตกต่างกัน

 

หมายเหตุ

-          กรณีเพดานไม่สูงกว่า 5 เมตรควรใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์
-          กรณีเพดานอยู่ระหว่าง 4-7 เมตรควรใช้หลอดหลอดปล่อยประจุความดันไอสูงแต่โคมเป็นชนิดโลเบย์
-          กรณีเพดานสูงกว่า 6 เมตรควรใช้หลอดหลอดปล่อยประจุความดันไอสูงแต่โคมเป็นชนิดไฮเบย์